วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2551

เลขานุการบินแบบประหยัด

การที่จะบอกว่า “ของถูกแล้วดี” คงจะต้องคิดทบทวนกันใหม่ แต่บางครั้ง คนเราควรได้มีโอกาสเช่นเดียวกันกับคนอื่น ซึ่งจะกล่าวถึงในที่นี้คือ การได้มีโอกาสบินกับเขาสักครั้งหนึ่ง ถัดจากนี้ก็อาจจะมีโอกาสบินบ่อยขึ้นเนื่องจากราคาและการบริการที่เรายอมรับได้ ถ้าไม่คิดมากเกินไปเกี่ยวกับเรื่องที่จะพูดถึงต่อไปนี้

แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับงานเลขานุการ เพราะถ้าเป็นนายจ้าง เลขานุการต้องทำอย่างไร ให้นายจ้างบินด้วยความประทับใจ สะดวกสบายและปลอดภัย มีข้อให้ตำหนิน้อยที่สุด เอาเป็นว่า การบินตามหัวข้อนี้เหมาะสำหรับเลขานุการต้องการบินด้วยตัวเอง แต่มีงบประมาณจำกัด ขณะที่การบินมีกำหนดเวลาแน่นอนหรืออาจจะเป็นกรณีเร่งด่วนและต้องการความประหยัด หรืออาจจะเลือกการเดินทางแบบนี้ให้กับนายจ้างด้วยก็ได้

เที่ยวบินราคาประหยัด ณ วันนี้ ที่บินภายในประเทศ ก็มีสามสายการบินหลักที่พอจะมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักได้แก่ วันทูโก, นกแอร์และแอร์เอเซีย แต่ละสายการบินก็มีความเหมือนและความแตกต่างกันไป ดังนี้

การบริการจองตั๋ว ที่สามารถจองตั๋วได้ในระบบออนไลน์ ได้แก่ นกแอร์และแอร์เอเซีย ซึ่งสองสายการบินดังกล่าว อาจจะมีโปรโมชั่นพิเศษ สำหรับบางช่วง เพราะยิ่งซื้อก่อนเวลาเดินทางนานเท่าไรราคาก็จะลดลงตามระยะเวลา นอกจากนี้ ยังมีบริการขายตั๋วตามห้างฯ หรือถ้าไม่สะดวกก็ไปซื้อโดยตรงที่เคาน์เตอร์ของแต่ละบริษัทที่สนามบิน

การสำรองที่นั่ง ทั้งสามสายการบิน เที่ยวบินที่ไม่สามารถกำหนดเลขที่นั่งได้คือ แอร์เอเซีย ต้องใช้ความสามารถในการที่จะทำอย่างไรให้เป็นคนต้นๆ ในการเข้าคิว แล้วไปเลือกที่นั่งได้ตามความพอใจ ส่วนสายการบินอื่น ก็สามารถเช็คอินก่อนเวลาเครื่องออก ถ้าไปเป็นลำดับต้นๆ ก็สามารถกำหนดได้ว่าจะนั่งหน้า ซ้ายขวา ติดหน้าต่าง นั่งกลาง ได้ตามต้องการ

การบริการบนเครื่อง มีวันทูโกเพียงสายการบินเดียว (ตอนนี้) ที่ให้บริการเครื่องดื่มและของว่างฟรี ส่วนสายการบินอื่นก็มีบริการเช่นเดียวกัน แต่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

ท่าอากาศยาน สายการบินเที่ยวบินประหยัด ทั้งของวันทูโกและนกแอร์ จะใช้ท่าอากาศยานดอนเมือง ส่วนของแอร์เอเซีย ใช้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดังนั้น ต้องเลือกเที่ยวบินที่จะใกล้กับสถานที่จะไป และสามารถตรวจสอบ ว่า แต่ละบริษัทบินจังหวัดใดบ้าง ได้ทางอินเทอร์เน็ต

จากคุณสมบัติที่แตกต่างกันของแต่ละสายการบิน ทีนี้ก็มาถึงสิ่งที่เลขานุการคนยาก จะต้องพิจารณากันให้ดีสำหรับเที่ยวบินประหยัด อันได้แก่ กำหนดเวลาเดินทาง จะต้องแน่นอน ถ้าต้องการตั๋วราคาถูกมากๆ ที่จองก่อนการเดินทางหลายเดือน (ตามที่ได้ลงโฆษณาไว้) ขณะเดียวกันต้องเผื่อใจสำหรับการยกเลิกเที่ยวบินและการดีเลย์ อาจจะไม่ไปถึงตามเวลาที่กำหนด ถ้าเป็นการกำหนดเวลาทำงานของเราที่ชัดเจน ก็ควรเผื่อการเดินทางไว้อย่างน้อย 1 วัน ให้คิดคำนวณต้นทุนค่าที่พักกับค่าตั๋วเครื่องบินราคาปกติ ดูว่าแบบไหนประหยัดกว่า


วันที่เดินทาง เที่ยวบินที่จะยกเลิกน้อยน่าจะเป็นเที่ยวบินวันศุกร์และวันอาทิตย์ และเป็นเที่ยวบินท้ายๆ เพราะถ้ายกเลิกเที่ยวบินอื่นๆ ก็จะเหลือเที่ยวบินสุดท้ายไว้เป็นทางเลือกสำหรับเลขานุการคนจน (แต่เจียม)

เบอร์โทรศัพท์ จะต้องให้เบอร์ที่ถูกต้องและสามารถติดต่อได้ มิฉะนั้น คุณอาจจะไม่ได้รับข่าวสารการยกเลิกบินแบบกระทันหัน แล้วต้องไปนั่งรอแก๋ว ที่สนามบิน

การจองตั๋วเดินทาง การจองตั๋วในระบบออน์ไลน์ ราคาที่โฆษณาไว้มักจะหมดเร็วมากและเครื่องจะแจ้ง error เพื่อให้ดำเนินการใหม่ และจะได้ราคาที่เพิ่มขึ้น ให้ตัดสินใจว่า ยังอยากจะไปอีกหรือไม่ หรือกรณีที่กรอกรหัสบัตรเครดิตชำระค่าตั๋วไปแล้ว และมีการ error หลายครั้ง จะต้องโทรติดต่อกับทางธนาคารเจ้าของบัตรของเราว่า มีการตัดยอดไปกี่ครั้ง เพราะอาจจะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นว่า คุณบินในวันเดียวกันตั้งสองครั้งในระยะเวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมง ถ้ากรณีแบบนี้ ต้องรีบโทรศัพท์แจ้งสายการบิน ซึ่งการจองในระบบ on-line ก็จะให้รหัสเพื่อที่จะได้เช็คอินที่เคาน์เตอร์ที่สนามบินเพื่อรับบอร์ดดิ้งพาส

ตั๋วเดินทาง เที่ยวบินประหยัด มีทางเลือกหลายกรณี เช่น ซื้อแล้วซื้อเลย จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้หรือจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นราคาเกือบเท่ากับเที่ยวบินราคาปกติ กรณีเปลี่ยนเวลาเดินทางได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม แต่ต้องโทรศัพท์แจ้งยืนยันอีกครั้ง
www.flickr.com by SEBImages


ทั้งหมดที่ได้พูดถึง ก็ต้องบอกว่า เป็นอีกวิธีหนึ่งของการเดินทางที่ประหยัดทั้งค่าใช้จ่ายและที่สำคัญคือประหยัดเวลา ซึ่งเลขานุการสามารถจะเลือกได้ และอาจมีสถานการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นที่เราไม่สามารถควบคุม แต่ถ้ามีข้อมูลและเตรียมแผนการล่วงหน้าเพื่อแก้ไขเรื่องต่างๆ นั้นได้ ก็ถือว่า เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการเดินทางที่น่าจะสนใจ ทั้งนี้ ในอนาคต สายการบินเที่ยวบินประหยัดทั้งหลายก็จะมีการปรับปรุงคุณภาพของบริการ เพราะกลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการลักษณะนี้มีมากขึ้น อีกทั้งมีสายการบินต่างๆ ที่ต้องการเข้ามาสู่ตลาดตรงนี้มาก คงไม่ไกลเกินเอื้อมที่เลขานุการจะได้บินแบบประหยัดและประทับใจไปพร้อมกัน

ขิงแก้เหงือกอักเสบ

ตั้งแต่วัยรุ่นเป็นต้นไปถึงวัยทำงานช่วงต้นๆ ทุก 3 ใน 4 คนมีปัญหาโรคเหงือก และในบรรดาปัญหาโรคเหงือกทั้งหลาย เหงือกอักเสบสร้างความทรมานให้บ่อยที่สุด
สาเหตุของปัญหาโรคเหงือกและฟันส่วนใหญ่เกิดจากการทำความสะอาดไม่ทั่วถึง ส่วนเหงือกอักเสบเกิดจากคราบฟัน หรือที่เราเรียกว่าคราบพลัค (plaque) ซึ่งประกอบด้วยเชื้อแบคทีเรียจากการหมักหมมของเศษอาหาร เกาะอยู่บนฟันหรือบริเวณขอบฟันจนในที่สุดจับตัวกันเป็นหินปูน เมื่อเกิดการติดเชื้อที่เหงือกหรือหินปูนเสียดสีกับเหงือก จึงทำให้เกิดการอักเสบขึ้น
นอกจากการทำความสะอาดที่ไม่ทั่วถึงแล้ว สภาพร่างกายที่อ่อนแอ เช่น เมื่อพักผ่อนไม่เพียงพอ มีความเจ็บป่วย ก็เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดเหงือกอักเสบได้เช่นกัน เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายติดเชื้อได้ง่าย ยิ่งไปกว่านี้หากเกิดการกระทบกระทั่งระหว่างการแปรงฟันก็จะเกิดเหงือกอักเสบขึ้นได้ง่าย และหายช้าได้เช่นกัน
หากใครกำลังมีปัญหาเหงือกอักเสบอยู่ ควรเร่งดูแลทั้งความสะอาดในช่องปากและสุขภาพโดยรวมให้กลับมาสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
ระหว่างที่มีอาการเหงือกอักเสบ เรามีสมุนไพรที่มีสรรพคุณลดการอักเสบ ต้านการเกิดฝีหนองได้ ซึ่งทุกคนคุ้นเคยกันดีมาฝาก เอาไว้ทาแก้เหงือกอักเสบ ซึ่งจะช่วยให้หายได้ในไม่กี่วัน
สมุนไพรที่ว่าคือขิงสด นำขิงสดมาปอกเปลือก ล้างให้สะอาด นำมาหั่นและบดละเอียด ให้ได้สัก 1 ช้อนชา เติมเกลือลงไปเล็กน้อย ประมาณ 1/4 ช้อนชา ผสมให้เข้ากันดี นำมาทาบริเวณที่เหงือกที่อักเสบ วันละหลายๆ ครั้ง อาการบวมของเหงือกจะค่อยๆ หายเป็นปกติ
เมื่ออาการดีขึ้นแล้ว อย่าละเลยการดูแลทั้งความสะอาดในช่องปาก และการดูแลสุขภาพจากภายในด้วยนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551

เข่าและศอกด้านควรทำอย่างไร

อะไรก็ดูดีไปหมด แต่เสียอย่างเดียว ข้อศอก และหัวเข้าแห้งกร้าน ดำปี๋เชียว แล้วจะทำยังไงดี ???? วันนี้เรามีวิธีขจัดความแห้งกร้านเหล่านี้มาฝากค่ะ

วิธีแรกเปนวิธีแบบธรรมชาติ เริ่มด้วยการผ่ามะนาวเป็น 2 ซีก แล้วนำมาขัดที่รอยหยาบกร้านเบา ๆ หรือจะเปลี่ยนจากมะนาวเป็นมะขามเปียกที่เราเอาไว้ใช้ทำกับข้าวก็ได้ แค่นี้รอยหยาบกร้านก็จะค่อย ๆ หายไป แต่แนะนำว่าควรจำทำสักสัปดาห์ละครั้ง หรือทุกครั้งที่มีเวลา และทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลดี และไม่กลับไปดำเหมือนเก่าอีก

ส่วนอีกวิธีหนึ่งคือ นำน้ำตาลทรายนำมาผสมกับนำมันที่ใช้สำหรับทาผิว (เบบี้ออยล์) ทาที่หัวเข้า และข้อศอก ทิ้งเอาไว้ 15 นาที หลังจากนั้นก็ใช้ใยบวบที่ใช้ถูหลังเวลาอาบน้ำถูเป็นวงกลมเบา ๆ น้ำตาลจะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าส่วนน้ำมันให้ความชุ่มชื่นกับผิว

และที่สำคัญที่ขาดไม่ได้ หลังจากที่ขัด ๆ ถูๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว อย่าลืมที่จะทาครีมบำรุงผิว โดยเลือกที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง ทาเป็นประจำ เท่านี้รับรองว่าคุณจะไม่ปวดหัวกับปัญหาเข่าและข้อศอกด้านอีกแล้ว...

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551

คำว่าOK


คนส่วนใหญ่ น้อยคนนักที่ไม่รู้จักคำว่า O.K. เรามักจะได้ยินคนพูดกันติดปาก ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ ไม่ว่าวัยใดก็ตาม แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า.. คำคำนี้มีที่มาอย่างไร ?
คำว่า O.K. มาจากคำเต็มว่า Oll Korrect ซึ่งที่ถูกต้องคือ All Correct ( แปลว่า ถูกต้อง ) มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจจาก พ่อค้าชาวอเมริกันคนหนึ่ง มีฐานะ ตำแหน่งหน้าที่การงานสูง แต่การศึกษาน้อย ทุกครั้งที่เขาสั่งงานลงในใบสั่ง ถ้างานชิ้นใดถูกต้อง ตกลง และอนุมัติ เขาจะ เขียนคำว่า Oll Korrect ลงในใบสั่งใบนั้นเสมอๆ ต่อมากิจการของพ่อค้าคนนี้ มีความเจริญก้าวหน้ามาก งานที่ติดต่อมาก็มีมากขึ้น ใบสั่งงานก็มีมากมายล้นโต๊ะ การที่เขาจะต้องเขียนคำ Oll Korrect ลงในใบสั่งทุกใบทำให้ต้องใช้เวลามาก เขาจึงย่อเหลือเพียงสั้นๆ คำ O.K. ซึ่งมีผล และความหมายเหมือนกัน คำว่า "อนุมัติ" นั่นเอง และก็เลยมีการใช้กัน อย่างแพร่หลาย ทั้งภาษาพูด และภาษาเขียน มากันจนปัจจุบันทั่วโลกทีเดียว.

วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2551

รายงานที่ดี

ส่วนประกอบของรายงาน

รายงานที่ดีควรประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วนดังนี้คือ ส่วนประกอบตอนต้น หรือส่วนนำส่วนประกอบตอนกลางหรือส่วนเนื้อเรื่อง และส่วนประกอบตอนท้าย
1. ส่วนประกอบตอนต้น หรือส่วนนำ คือส่วนที่อยู่ตอนต้นเล่มของรายงานก่อนถึงเนื้อเรื่อง ประกอบด้วย ปกนอก หน้าปกใน คำนำ สารบัญ บัญชีตาราง บัญชีภาพประกอบ
2. ส่วนประกอบตอนกลาง หรือส่วนเนื้อเรื่อง คือส่วนที่อยู่ต่อจากส่วนประกอบตอนต้นหรือส่วนนำ เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของรายงาน เพราะจะครอบคลุมเนื้อเรื่องทั้งหมดของรายงานตามโครงเรื่องที่กำหนดไว้ หรือตามหัวข้อที่แจ้งไว้ในสารบัญ
3. ส่วนประกอบตอนท้าย คือส่วนเพิ่มเติมให้ทราบถึงความพยายามหรือแนวค้นคว้าของผู้จัดทำรายงาน ตลอดจนส่วนที่จะช่วยให้ผู้อ่านหรือผู้ใช้ประโยชน์จากรายงานสามารถตรวจสอบค้นคว้าเพิ่มเติม
ลักษณะของรายงานที่ดี

รายงานที่ดีควรมีลักษณะที่ดีดังนี้
1. แสดงให้เห็นว่าผู้เขียนได้ศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง กว้างขวาง และมีเนื้อเรื่องครบถ้วนตามหัวข้อที่กำหนด
2. มีความถูกต้องเที่ยงตรง และแม่นยำ
3. ต้องมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน
4. ผู้เขียนแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเรื่องที่กำลังศึกษาอยู่
5. แสดงว่าผู้เขียนมีความเข้าใจแจ่มแจ้งในเรื่องที่เขียน อาจจะเป็นแนวทางสำหรับการศึกษาค้นคว้าเรื่องนั้นให้กว้างขวางและลึกซึ้งต่อไป
6. มีแนวทางที่แก้ไขปัญหาที่กำลังศึกษาอยู่
7. จัดเรียงลำดับของเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง มีความสัมพันธ์กันเป็นอย่างดี เมื่อกล่าวถึงสิ่งใดก็มีหลักฐานอ้างอิงอย่างเพียงพอ สมเหตุสมผล ตลอดจนมีความสามารถในการกลั่นกรองและสรุปความรู้ความคิดได้จากแหล่งต่างๆ
8. แสดงให้เห็นว่าผู้เขียนมีความคิดสร้างสรรค์เป็นของตนเอง
9. แสดงหลักฐานที่มาอย่างถูกต้องและละเอียดถี่ถ้วน
10. ใช้ภาษาได้ถูกต้องได้ผลตามจุดมุ่งหมาย และเป็นภาษาที่นิยมใช้กันโดยทั่วไป

วันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2551

การเขียนรายงาน

การเขียนรายงาน

ความหมายของการเขียนรายงาน รายงาน (Report) ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2542 : 953) ให้ความหมายของคำว่า “รายงาน” ว่าเป็นคำนาม หมายถึง เรื่องราวที่ไปศึกษาค้นคว้าแล้วนำมาเสนอที่ประชุม ครูอาจารย์หรือผู้บังคับบัญชา นอกจากนี้ยังมีผู้ให้คำจำกัดความของคำว่า “รายงาน”

ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า การเขียนรายงาน หมายถึง การนำเสนอผลงานจากการศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบ ตามระเบียบแบบแผน โดยมีการอ้างอิงหลักฐานที่ชัดเจน ซึ่งอาจทำเป็นรายบุคคลหรือเป็นคณะก็ได้ ทั้งนี้ การเขียนรายงานมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ เนื้อหาและระยะเวลาในการจัดทำหรือศึกษาค้นคว้า
ประโยชน์ของรายงาน
1. ทำให้ทราบผลการดำเนินงาน รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงาน
2. ใช้วิธีการหนึ่งในการประเมินผลงานและประเมินค่าของการปฏิบัติงาน
3. ใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงและเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์วิจัยต่อไป
4. ใช้เป็นหลักในการกำหนดโครงการหรือแนวทางในการปฏิบัติงาน
5. ใช้เป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคลากรภายในหน่วยงานและให้ความรู้ความเข้าใจ แก่คนทั่วไป

ประเภทของรายงาน
รายงานแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. รายงานทางวิชาการ เช่น รายงานของนักศึกษาหรือสถาบันทางวิชาการ ฯลฯ
2. รายงานทางธุรกิจ เช่น รายงานการสำรวจตลาด รายงานประจำปี รายงานวิเคราะห์ ฯลฯ
3. รายงานทั่วไป เช่น รายงานการปฏิบัติงาน รายงานเหตุการณ์ รายงานผลการสอบสวน รายงานประชุม ฯลฯ
นอกจากนี้อาจแยกรายงานเป็นประเภทต่าง ๆ ได้อีกหลายประเภทตามวัตถุประสงค์ของการนำเสนอรายงานนั้น ได้แก่ รายงานที่เป็นทางการ และรายงานที่ไม่เป็นทางการ รายงานการศึกษา การดูงาน การฝึกอบรม การค้นคว้า เป็นต้น

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เคล็ดนำโชคของเจ้าสาว

ตำรายุโรปของเก่าบอกว่า เจ้าสาวจะเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุด จะเป็นที่รักของสามีอย่างมิเสื่อมคลาย หากปฏิบัติตามเคล็ดต่อไปนี้ ...
1. ในการแต่งตัว จะต้องมีสิ่งของที่เป็นของตัดใหม่หรือซื้อมาใหม่ สวมใส่ติดตัวตลอดงานวิวาห์ อาจจะเป็นรองเท้าหรือชุดเจ้าสาวก็ได้
2. ของในตัวจะต้องมี 1 อย่างเท่านั้นที่เป็นของยืมเขามา เช่น อาจจะเป็นสร้อยเพชร หรือชุดเจ้าสาวก็ย่อมได้
3. ของในตัว จะต้องมีของที่เป็นของเก่าด้วย เช่น นาฬิกา หรือ กำไลข้อมือ
4. ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จะต้องมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเป็น "สีของท้องฟ้า" ติดประดับอยู่ในร่างกายด้วย เช่น ตุ้มหู หรือโบติดผมก็ได้ ...

วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

สุดยอดอาหารเพื่อเส้นผม

ไข่: ไข่เป็นแหล่งอาหารที่อุดมด้วยกรดอะมิโนแอซิดที่มีกำมะถันเป็นองค์ประกอบ และช่วยในด้านความแข็งแรงของเส้นผม
ปลา: อุดมด้วยโปรตีนและกรดไขมันโอเมก้า-3 ช่วยให้เส้นผมแข็งแรง และมีประกายเงางามถั่ว: มีกรดไขมันจำเป็นหลายชนิด ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เส้นผมแห้ง ขาดความชุ่มชื้นธัญพืช: ธัญพืชมีแร่ธาตุซิลิก้าสูง โดยเฉพาะในข้าวโอ๊ต หรือมูสลี่ จะช่วยให้ผมที่ดูหมองไม่สดใสกลับคืนความเงางามอีกครั้งหนึ่งผลไม้: ผลไม้สีสันสดใสจะอุดมด้วยวิตามินนานาชนิด ช่วยคืนชีวิตชีวาและความแข็งแรงให้กับเส้นผมผัก: อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนซึ่งร่างกายจะทำการแปลงให้เป็นวิตามินเอ ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญต่อสุขภาพเส้นผมน้ำ: น้ำไม่ได้ทำหน้าที่ให้ความชุ่มชื่นแก่ร่างกายและผิวหนังเท่านั้น แต่ยังช่วยรักษาความชุ่มชื่นให้แก่เส้นผมด้วย ซึ่งจะส่งผลให้เส้นผมมีความยืดหยุ่นและเป็นมันเงา

วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เคล็ดลับซ่อมเล็บด้วยตัวเอง

นี่คือความรู้พื้นฐานการซ่อมเล็บด้วยตัวเองที่สาวรักเล็บทั้งหลายพึงเรียนรู้เอาไว้ หากเกิดปัญหาดังกล่าว จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปที่ร้านทำเล็บเพื่อให้ช่างทำเล็บจัดการให้ไม่เสียทั้งเวลา และไม่เปลืองสตางค์สาวๆ ที่ริจะไว้เล็บก็ต้องรู้จักและทำความเข้าใจเล็บกันบ้างนะ
1 เล็บหัก
สาเหตุที่เกิด: การหักของเล็บเกิดจากความสะเพร่าของสาวๆ ที่ไว้เล็บยาว แต่มิได้ระวังการใช้งานมือ เล็บอาจจะไปโดนของแข็งบางอย่างทำให้หัก หรือใช้อุปกรณ์เกี่ยวกับเล็บที่ไม่เหมาะสม หรือใช้ผิดวิธี และสำหรับสาวที่ชอบไว้เล็บยาวจนเกินไป ความยาวของเล็บที่กำลังสวยคือไม่เกินสองเท่าของเล็บปกติหรืออาจจะเกิดจากฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงจึงทำให้เล็บแห้งและเปราะง่าย หรืออาจเกิดจากความผิดปกติของเล็บเองที่ไม่แข็งแรง เพราะขาดสารอาหารบางอย่าง
การซ่อมแซม: ตรวจสอบก่อนว่าเล็บที่หักไปนั้นยาวแค่ไหน ถ้าหักไม่มาก และไม่กินถูกเนื้อเล็บเข้าไปเยอะ ให้ตกแต่งเล็บด้วยกรรไกรตัดเล็บให้ยาวเสมอกัน แต่ถ้าหักแบบเข้าไปเยอะมาก ให้ใช้การซ่อมแบบ Overlay หรือการใช้ผลิตภัณฑ์เคลือบที่เป็นสารเชื่อม ซึ่งอาจจะเป็นแป้งหรือของเหลวทาเคลือบให้บาง เชื่อมให้ยึดติดกัน หรือหุ้มด้วยวัสดุเสริมเข้าไป จะเป็นกระดาษ ผ้าไหม หรือไฟเบอร์กลาสก็ได้
การดูแลรักษา: จัดตารางเวลาในการดูแลเล็บเป็นประจำทุกวัน ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับมือและเล็บคุณภาพดี ไม่ว่าจะเป็นโลชั่นทามือครีมบำรุงจมูกเล็บ ตัดเล็บให้มีความยาวพอเหมาะ และตะไบเล็บให้เข้าที่เข้าทาง
2. เล็บแตก
สาเหตุที่เกิด: เล็บที่แห้งจนเกินไป น้ำมันในเล็บค่อนข้างน้อย และการไม่ใส่ใจต่อการบำรุงเล็บเท่าที่ควร
การซ่อมแซม: เมื่อเล็บแตก ควรหยุดพฤติกรรมการตะไบเล็บในทันที เพราะจะยิ่งไปทำให้รอยแตกเยอะมากขึ้น การซ่อมแซมเล็บก็คล้ายๆ กับการซ่อมเล็บหัก แต่ง่ายกว่าแค่ใช้ผ้าไหม หรือไฟเบอร์กลาสมาหุ้มเล็บที่แตกในกรณีที่ไม่หนักหนามากนัก
การดูแลรักษา: บำรุงเล็บด้วยมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ทุกวัน และกินอาหารที่ร่างกายต้องการเพื่อไปเสริมสร้างเล็บไม่ให้เปราะหรือแตกง่าย
3. เล็บซีดหรือจางไม่สดใส
สาเหตุที่เกิด: ปกติเล็บของเรามองด้วยตาเปล่าแล้วจะไม่เห็นว่าเต็มไปด้วยรูมากมายนับไม่ถ้วน และสามารถดูดซึมสียาทาเล็บเข้าไปในเนื้อเล็บได้ด้วยเช่นกัน การล้างทำความสะอาดสียาทาเล็บไม่สะอาด ก็เหมือนการพอกพูนให้สีเล็บเกาะติดเข้าไปในเนื้อเล็บทุกวันจากที่เคยมีสีขาวก็จะดูเหลือง ไม่ชวนมองเท่าไหร่เลย
การซ่อมแซม: หมั่นล้างเล็บให้สะอาดอาจจะต้องมีการตะไบเนื้อเล็บออกไปบ้างเพื่อเผยผิวเล็บใหม่ แต่อย่าตะไบจนลึกมากนักเพราะเล็บจะบางและอาจทำให้เรารู้สึกเจ็บได้นอกจากนี้การใช้ผลิตภัณฑ์ล้างเล็บคุณภาพสูงก็ช่วยได้เช่นกัน ให้มั่นใจทุกครั้งว่าเราทำความสะอาดสีของยาทาเล็บออกจนหมดจดและควรจะพักเล็บจากการทาเล็บบ้าง ให้เล็บได้มีโอกาสหายใจได้เต็มที่สักอาทิตย์สองอาทิตย์ก็ยังดี
การดูแลรักษา: สวมถุงมือขณะที่ทำงานบ้านทุกครั้ง ไม่ว่าจะทำงานในครัว ในสวนเพราะอาจมีสารเคมีบางอย่างทำปฏิกิริยากับเล็บของเราได้ นอกจากนี้หมั่นทาครีมรองพื้นเล็บ(Base Coat) ให้เป็นนิสัย เพราะครีมรองพื้นเล็บจะช่วยเคลือบเล็บให้เล็บสวยเป็นเงางาม และยังช่วยปกป้องเล็บจากการสัมผัสกับสารเคมีทั้งหลาย นอกจากนี้เมื่อทำงานเสร็จทุกครั้งให้ใช้ฟองน้ำขัดเล็บให้สะอาด แล้วใช้ครีมบำรุง

รู้จริงเรื่องการนอน

เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าวิธีพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการนอน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะหลับสบายยามหัวถึงหมอน หรือหลับได้ทุกที่ทุกสถานการณ์ การนอนสำคัญและเกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่นๆ มากกว่าที่คุณคิด ถ้าคุณมีอาการนอนไม่หลับ หลับไม่สนิท หรือง่วงหลับประจำตอนกลางวัน สาเหตุใดที่เป็นปัญหาที่กวนใจแท้จริง และปัญหาใดเป็นความเชื่อผิดๆ กันแน่
ความเชื่อ : ขณะนอนหลับพักผ่อน ร่างกายกับสมองจะหยุดพักไปด้วย ข้อเท็จจริง : ในขณะหลับร่างกายจะหยุดพักผ่อนตามไปด้วย แต่สมองยังคงทำงานอยู่ การนอนหลับเป็นการลดภาระให้สมองทำงานเบาลง เสมือนว่าได้รับการชาร์ตแบตเตอรีเพื่อเตรียมพร้อมทำงานในวันต่อไป แต่ก็ยังคงต้องควบคุมการทำงานอวัยวะต่างๆ ของร่างกายอยู่ ไม่ว่าจะเป็นระบบหายใจ ระบบประสาท ฯลฯ
ความเชื่อ : ผู้สูงอายุไม่จำเป็นต้องนอนมาก ข้อเท็จจริง : ไม่จริง ผู้สูงอายุต้องการนอนหลับพักผ่อนประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน เช่นเดียวกับคนวัยหนุ่มสาวทั่วไป ทั้งนี้อายุที่มากขึ้น ประกอบกับการทำงานของอวัยวะในร่างกายเริ่มเสื่อมไปตามเวลา ทำให้กิจวัตรประจำวันเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลทำให้พฤติกรรมการนอนไม่เหมือนเดิม นอนหลับได้น้อยชั่วโมงลง หรือหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน แต่ไม่ว่านอนหลับได้ไม่เต็มอิ่มอย่างไร ร่างกายก็ยังคงต้องการเวลาพักผ่อนให้ได้ 7-9 ชั่วโมง
ความเชื่อ : การนอนหลับพักผ่อนน้อยเป็นประจำ ร่างกายจะชินและไม่ต้องการนอนมากอย่างที่เคย ข้อเท็จจริง : ไม่จริง เคยมีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการนอนว่า ในวัยผู้ใหญ่หากนอนให้ได้ประมาณ 7-9 ชั่วโมงทุกวัน จะส่งผลให้สุขภาพร่างกายโดยรวมดีอย่างน่าทึ่ง หากวันไหนนอนหลับได้ไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะชดเชยชั่วโมงนอนที่ขาดรวมกับชั่วโมงนอนในอีก 2-3 คืนถัดไป ไม่ว่าเราจะนอนน้อยเป็นประจำหรืออดนอนเป็นประจำแค่ไหน ร่างกายไม่มีวันชินหรือยอมรับให้นอนน้อยได้ตลอด เพราะเป็นการฝืนธรรมชาติการพักผ่อนที่ร่างกายต้องการ
ความเชื่อ : ง่วงหาวตอนกลางวันแสดงว่านอนไม่พอ ข้อเท็จจริง : จริง สาเหตุของอาการง่วงหาวตอนกลางวันอาจมีส่วนหนึ่งมาจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ แต่ก็อาจเกิดกับคนที่นอนหลับเต็มอิ่มได้ด้วย และถ้าง่วงผิดสังเกตอาจเป็นสัญญาณเตือนว่ามีเรื่องสุขภาพอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การกรนหรือหยุดหายใจขณะหลับ ทำให้ร่างกายขาดการพักผ่อนอย่างเต็มที่ จำเป็นต้องไปปรึกษาแพทย์ต่อไป
ความเชื่อ : นอนน้อยมีผลต่อน้ำหนัก ข้อเท็จจริง : จริง หากนอนหลับไม่เพียงพอก็จะส่งผลต่อระบบฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนเลปตินและเกรลิน ส่งผลทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ ฮอร์โมนทั้ง 2 ทำหน้าที่มีหน้าที่ควบคุมและสร้างสมดุลความต้องการอาหาร ฮอร์โมนเกรลินถูกผลิตขึ้นในระบบทางเดินอาหาร มีหน้าที่กระตุ้นความอยากอาหาร ในขณะที่เลปตินถูกผลิตในเซลล์ไขมัน ทำหน้าที่ส่งสัญญาณรับรู้ว่าอิ่มไปยังสมอง เมื่อได้รับอาหารพอดีกับความต้องการ ดังนั้นหากนอนหลับไม่เพียงพอ จะส่งผลทำให้ระดับเลปตินต่ำลง ร่างกายไม่รู้สึกอิ่มอย่างที่ควรจะเป็น ตรงกันข้ามฮอร์โมนเกรลินจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความอยากอาหารเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงทำให้ร่างกายรับประทานอาหารเกินพอดี น้ำหนักก็เพิ่มมากขึ้น
ดังนั้นการนอนหลับให้เพียงพอประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน เป็นการสร้างเสริมสุขภาพร่างกายที่ดีที่สุด

ของขวัญจากเล็บสวย

ส่งความสุขให้คนที่คุณรัก ส่งความหวังดีให้คนที่คุณห่วงใย และส่งความจริงใจให้คนที่คุณคิดถึง มีความสุขกับการให้ และพึงพอใจกับการได้รับ แล้วคุณจะมีความสุขกับความอิ่มเอมใจ
ขั้นตอนการเพ้นท์เล็บ
1. ทายาทาเล็บสีขาวเป็นพื้นให้กับเล็บ ทาไปในทิศทางเดียวกันให้ครบทั้ง 10 นิ้ว พอแห้งแล้วทาอีกรอบ
2. ทายาทาเล็บที่เป็นกากเพชรให้ครบทั้ง 10 นิ้วเช่นกันแต่ทำเฉพาะปลายเล็บเท่านั้น
3. ติดคริสตัลเม็ดใหญ่ลงบนกลางเล็บ
4. ติดเม็ดสีทองเล็กๆ รอบคริสตัล
5. ติดคริสตัลสีขาวใสเม็ดเล็กรอบนอกแบบสับหว่าง 6. ติดไข่มุกสีขาวเม็ดใหญ่ระหว่างคริสตัลสีขาวใส
7. ติดเม็ดสีทองเล็กๆ รอบนอกสุดอีกครั้ง 8. ทาท๊อปโค๊ทบริเวณเล็บเพื่อทำให้เล็บเป็นประกายโดยที่ไม่ให้ถูกคริสตัล เพราะจะทำให้คริสตัลสีขุ่นลง

ทรงเล็บสวยด้วยตะไบ

สิ่งที่ชี้ชะตาว่าคุณสาวๆ จะทาสีเล็บออกมาได้สวยหรือเปล่านั้น ขอบอกว่าขึ้นอยู่กับรูปทรงของเล็บเป็นสำคัญ การเลือกตะไบเล็บที่มีคุณภาพดีก็เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่ใช้ตะไบที่ติดมากับกรรไกรตัดเล็บ ตะไบเล็บที่มีคุณภาพดีอาจจะทำมาจากเซรามิค หรือเหล็ก ถ้าเป็นตะไบเหล็กควรตะไบเล็บไปในทิศทางเดียว ไม่ควรถูกลับไปกลับมาเพราะจะทำให้เล็บเป็นเสี้ยนคมหรือฉีก แต่ถ้าใช้ตะไบเล็บที่ทำจากเซรามิค สามารถตะไบสวนทางกันได้ นอกจากนี้การตะไบเล็บควรตะไบจากขอบเล็บเข้าหาปลายเล็บ นอกจากนี้การตะไบเล็บควรทำอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง เพราะเล็บจะเริ่มยาวแล้ว การตะไบเล็บให้ทำหลังการตัดเล็บเสร็จ และใช้ตะไบหยาบตะไบไปก่อน เพื่อทำให้เกิดทรงเล็บที่ต้องการ จากนั้นใช้ตะไบละเอียดตกแต่งทรงเล็บให้เรียบมนอีกทีเพียงเท่านี้คุณสาวๆ ก็สามารถทายาทาเล็บได้ดั่งใจแล้ว รับประกันว่าสวยชัวร์ ไม่มั่วนิ่ม

กินของว่างเพื่อสุขภาพ

วิธีฉลาดกินของว่างเพื่อสุขภาพ • วางแผนสักนิดว่าจะกินของว่างเมื่อไหร่และบ่อยแค่ไหน ถามใจตัวเองว่าอยากกินของว่างเพิ่มเพื่อเพิ่มพลังงานหรือเพื่อควบคุมน้ำหนัก แต่ไม่ว่าจะตั้งใจแบบไหน ให้จำไว้ตลอดว่ากินอิ่มแต่พอดี ให้เหมาะกับความต้องการของร่างกายและระยะเวลาในการกิน หากไม่วางแผนไว้คุณอาจจะเผลอหยิบ ขนม คุกกี้ มาเคี้ยวจนหมดกล่องภายในพริบตาด้วยความเผลอ ก็จะได้รับไขมันเกินพอดีได้ • เลือกของว่างที่ดีต่อสุขภาพ อาหารหรือขนมขบเคี้ยวมีให้เลือกหลายแบบ เช่น ให้พลังงานมาก ให้ไขมันสูง หรือทั้งสองอย่างปนๆ กันไป ดังนั้นต้องรู้จักเลือกของว่างที่เหมาะต่อสุขภาพสักหน่อย คือให้พลังงานแต่มีไขมันต่ำ ที่สำคัญต้องเลือกให้ถูกปาก (จะได้ไม่เหมือนว่าถูกบังคับให้กิน) และเหมาะกับสภาพแวดล้อมด้วย • อย่าลืมพกของว่างติดตัว หลายคนพบว่าเมื่อออกไปทำธุระข้างนอก การกินเป็นมื้อย่อยๆตามที่วางแผนไว้ค่อนข้างลำบาก เพราะไม่สามารถหาซื้อของว่างที่เหมาะสมนอกบ้านได้ ดังนั้นการซื้ออาหารว่างที่มีประโยชน์เก็บสะสมไว้ที่บ้าน และสามารถนำพกติดตัวไปได้จะสะดวกกว่า สำหรับคนที่ห่วงเรื่องฟันผุหลังการกิน แนะนำให้เลือกของว่างที่มีส่วนประกอบของนม หรือโยเกิร์ต ที่มีค่าเป็นกลางต่อฟัน และช่วยปกป้องไม่ให้ฟันผุ หรืออาจเคี้ยวหมากฝรั่งปราศจากน้ำตาลหลังการกิน

ดอกไม้กับผู้หญิง

“ดอกไม้” กับ “ผู้หญิง” ดูจะเป็นของคู่กันอย่างช่วยไม่ได้ เพราะดอกไม้ทำให้ผู้หญิงดูอ่อนโยน และยังเป็นแรงบันดาลใจให้นักออกแบบได้สร้างสรรค์เสื้อผ้าอาภรณ์สวยๆ มาให้ผู้หญิงเลือกสวมใส่อย่างไร้ขีดจำกัดในทุกๆ ปีไป ในซีซั่นนี้ก็เช่นกัน มวลหมู่ดอกไม้นานาพรรณยังคงถูกนำมาใช้ในการออกแบบเสื้อผ้า พร้อมด้วยไอเดียบรรเจิดที่ช่วยให้คุณเลือกสรรการแต่งกายได้อย่างสนุกสนาน
Print จะเป็นเสื้อหรือกระโปรงพิมพ์ลายดอกไม้ใหญ่น้อยก็ตามแต่ การพิมพ์ลายดอกไม้ลงบนผืนผ้าดูจะเป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ดีไซเนอร์ส่วนใหญ่มักเลือกพิมพ์ลายลงบนผ้าทั้งผืนหรือจะเรียกว่าพิมพ์ลายมาตั้งแต่ขั้นตอนการทอผ้าก็ไม่ผิดนัก ซึ่งทำให้ประหยัดต้นทุนการผลิตไปได้เยอะ ทว่าดีไซเนอร์ผู้ชอบความแปลกใหม่มักจะเลือกพิมพ์ลายลงเฉพาะจุดบนตัวเสื้อหรือกางเกง ซึ่งก็ช่วยทำให้เสื้อผ้าตัวนั้นดูแปลกตาและเก๋ไก๋ไม่ซ้ำใคร
Decoration มิใช่มีเพียงการพิมพ์ลายเท่านั้นที่เป็นที่นิยมใช้กัน แต่มูลค่าของเสื้อจะสูงขึ้นในทันทีหากดีไซเนอร์เลือกใช้การปัก หรือตกแต่งตัวเสื้อด้วยช่อดอกไม้ การปักและตกแต่งบนลายเสื้อมันจะใช้กับชุดที่ต้องการความหรูหรา อาจจะเป็นเดรสยาวสำหรับงานกลางคืน ซึ่งจะช่วยให้คุณเป็นที่สะดุดตาแก่ผู้พบเห็น หรือชุดทำงานกลางวันที่ต้องการความเป็นเอกลักษณ์สำหรับสาวผู้มั่นใจในตัวเองเป็นที่สุด
Tips
หากเลือกใส่ชุดเดรสที่ตกแต่งด้วยลายดอกไม้สวยงาม ต้องไม่ลืม กระเป๋าถือและรองเท้าส้นสูงหน้าตาสวยงาม จะยิ่งทำให้คุณสวยเด่นกว่า ใครในงานกลางคืน
การเลือกชุดสไตล์นี้ หากดอกไม้ประดับอยู่บนสีพื้นจะทำให้มีจุดโฟกัส ที่โดดเด่น เช่น เดรสยาวดำประดับดอกไม้บนไหล่ขวา กระโปรงสีพื้น ปักลายดอกไม้ เป็นต้น
ควรหลีกเลี่ยงการประโคมลายดอกจนเต็มไปหมดในชุดหนึ่งชุด เพราะจะ ทำให้ลายตาและดูไร้รสนิยม
หากคิดจะซื้อชุดที่ตกแต่งด้วยดอกไม้อย่างสวยงาม อย่าลืมนึกถึงการบำรุง รักษาด้วย ชุดเหล่านี้มักจะเซ็นซิทีฟต่อการซัก ฉะนั้นการซักแห้งเท่านั้น ที่จะทำให้ชุดราคาแพงมีอายุยาวนาน

คุณค่าจากโยเกิร์ต

คุณอาจรู้จักและเคยกินโยเกิร์ต แต่หลายคนคงยังไม่ทราบว่าโยเกิร์ตนั้นเป็นอาหารประจำชาติของชาวตะวันออกกลางมานับพันๆ ปีตั้งแต่ก่อนคริสตกาลแล้ว โดยเฉพาะแถวๆ ตุรกี อาร์เมเนีย อิหร่าน ก่อนที่จะแพร่หลายไปยังยุโรปตะวันออกและยุโรปกลางเมื่อมีการทำสงครามขยายอาณาจักรในเวลาต่อมา จากนั้นทั่วโลกก็รู้จักอาหารนมชนิดนี้ โยเกิร์ต จะว่าไปก็คือน้ำนมหมักเราดีๆ นี่เอง ที่ขายกันในท้องตลาดปัจจบันได้ผ่านกระบวนการผลิตตามมาตรฐานสากลซึ่งเน้นความสะอาดมาแล้ว วิธีการทำโยเกิร์ตนั้นก็ทำโดยการนำน้ำนมดิบไปผ่านกระบวนการโฮโมจีไนเซชั่น ทำให้ไขมันรวมตัวกับน้ำนมได้ดี แล้วจึงนำไปผ่านการฆ่าเชื้อโรคแบบพาสเจอไรส์ จากนั้นจึงค่อยเติมจุลินทรีย์ลงไป เพื่อให้น้ำตาลแลกโตสในนมเปลี่ยนเป็นกรดแลคติก ทำให้นมมีลักษณะข้นเป็นลิ่มคล้ายคัสตาดหรือเต้าฮวย และมีรสเปรี้ยว จุลินทรีย์ที่นิยมใช้ในการทำนมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์ชนิดที่มีประโยชน์ 2 ชนิดคือ แลคโตบาซิลัส บูลการิคัส (Lactobacillus delbrueckii subsp. bulgaricus) และสเตร็ปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลลัส (Streptococcus salivarius subsp. thermophilus) หลังจากใส่เชื้อแล้วก็หมักน้ำนมไว้ในถังประมาณ 24 ชั่วโมง จึงค่อยนำมาบรรจุใส่ถ้วยเป็นโยเกิร์ตเปล่า หรือนำไปผสมกับแยมผลไม้ต่างๆ เพื่อเพิ่มรสชาติให้อร่อยน่ากิน ว่าแต่ทำไมเราถึงต้องกินโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวกันด้วยล่ะ ก็เพราะมันมีประโยชน์น่ะซีครับ ตามปกติในลำไส้ใหญ่ของเราจะมีจุลินทรีย์ที่เรียกว่า putrefactive ซึ่งจะทำให้เกิดการสลายตัวของโปรตีน ก่อให้เกิดแก๊ส ทำให้ลำไส้ใหญ่ทำงานผิดปกติ เมื่อกินโยเกิร์ตที่มีสภาพเป็นกรดจะไปทำให้ลำไส้เรามีสภาวะไม่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์เหล่านั้น ผลก็คือลำไส้เราก็จะกลับมาทำงานเป็นปกติดังเดิม ในบางคนที่มีปัญหากับการดื่มนมสด ทำให้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสีย เนื่องจากขาดเอนไซม์แลกเตสที่จะช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสในนม เมื่อหันมากินโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยวก็จะเลี่ยงจากอาการที่ว่านั้นได้ และยังได้สารอาหารต่างๆ จากนมครบถ้วนเหมือนเดิมด้วย ยิ่งคุณเลือกกินโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยวที่มีปริมาณนมสดมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้คุณค่าทางโภชนาการมากขึ้นครับ นอกจากนี้ยังเคยมีการศึกษาพบว่าโยเกิร์ตมีคุณสมบัติกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สูงขึ้น บางคนนำโยเกิร์ตเปล่ามาพอกหน้า นานประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออกให้สะอาด ทำสัปดาห์ละครั้ง เชื่อว่าโปรตีนและวิตามินในน้ำนมจะช่วยทำให้ผิวหน้าขาวเนียนนุ่มชุ่มชื้นขึ้น เรื่องนี้หลายคนยืนยันว่าลองมาแล้วกับตัว ซึ่งจะได้ผลดีอย่างไรคงต้องลองดูกันนะค่ะ

การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ

หากจะค้นคว้าข้อมูลเรื่องการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ รับรองว่าทั้งอินเตอร์เน็ต หนังสือพิมพ์ นิตยสาร บทความหรือแม้แต่โฆษณา ก็ล้วนแต่นำเสนอข้อมูลหลากหลาย บ้างก็มีแหล่งอ้างอิง บ้างก็ไม่มี ถึงกระนั้นหลายคนก็ยังปักใจเชื่อ ทำให้เกิดคำถามและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการรับประทานอาหารที่ถูกต้อง ดังคำถามที่มักได้ยินดังต่อไปนี้
Myth : การรับประทานไขมันก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย Fact : ไม่จริง แม้ว่าไขมันจะเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคหัวใจ โรคอ้วน โรคหลอดเลือดตีบตัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องงดโดยสิ้นเชิง เพียงแต่รับประทานให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายทั้งนี้ร่างกายต้องการกรดไขมันจำเป็นในการดูดซึมวิตามินที่ได้จากผักและผลไม้ต่างๆ อีกทั้งเป็นไขมันเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของร่างกาย ไขมันมีประโยชน์ต่อการผลิตฮอร์โมนในร่างกายมนุษย์ ช่วยหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกายให้ทำงานเป็นปกติ ฯลฯ ดังนั้นการรับประทานไขมันจึงไม่ได้เป็นผลเสียต่อร่างกายเสียทั้งหมด ยกเว้นพวกที่เป็นไขมันอิ่มตัว ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคร้ายแรงหลายชนิด
Myth : การรับประทานมังสวิรัตอย่างเคร่งครัดดีต่อสุขภาพ Fact : หัวข้อนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง แต่การรับประทานมังสวิรัติอย่างเคร่งครัด ซึ่งงดรับประทานอาหารใดๆ ที่ได้มาจากสัตว์ (รวมถึงไข่และนมต่างๆ) จนอาจทำให้เกิดการขาดสารอาหารบางประเภทได้ เช่น กรดอะมิโนจำเป็นที่มีในสัตว์และนมเท่านั้น และวิตามินบี 12 ที่มีมากในเนื้อและเครื่องในสัตว์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งอาจเกิดภาวะโลหิตจางได้ และที่สำคัญคนรับประทานมังสวิรัติจำเป็นต้องเน้นรับประทานผักและผลไม้ที่มีแคลเซียม เช่น คะน้า บร็อคโคลี ผักโขม เต้าหู้ ธาตุเหล็ก เช่น ข้าวโอ๊ต ถั่วแดง และสังกะสี เช่น โฮลวีท เมล็ดธัญพืช เนื่องจากการงดเนื้อสัตว์มักได้รับวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้น้อยกว่าคนปกติ ซึ่งล้วนจำเป็นต่อการทำงานของเซลล์ในร่างกาย
Myth : การจำกัดปริมาณอาหารเพียงอย่างเดียวก็ทำให้น้ำหนักลดลงได้ Fact : ไม่จริง แม้ว่าช่วงแรกของการจำกัดอาหารจะรู้สึกว่าน้ำหนักลดลง แต่ไม่ใช่วิธีควบคุมน้ำหนักในระยะยาว นอกจากนี้การอดอาหารอย่างเคร่งครัดอาจนำไปสู่โรคแอนโนร็อกเซีย ซึ่งปฏิเสธอาหารเพราะเกรงว่าจะทำให้อ้วนจนร่างกายขาดสารอาหาร ผอมแห้งและอาจเสียชีวิตในที่สุด การลดน้ำหนักให้ได้ผลและมีประสิทธิภาพคือ การรับประทานอาหารที่ให้พลังงานพอเหมาะแก่ร่างกายควบคู่กับการออกกำลังกาย เพื่อกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานส่วนเกินที่สะสมอยู่ ซึ่งนอกจากการออกกำลังกายจะช่วยให้รูปร่างสมส่วนแล้ว ยังทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเอนโดรฟีนที่ทำให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า
Myth : ยาลดความอ้วนช่วยเร่งระบบเมตาบอลิซม ทำให้ลดน้ำหนักได้ Fact : ไม่จริงแน่นอน ไม่มียาชนิดใดในโลกที่รับประทานแล้วช่วยให้ผอมได้จริง ส่วนใหญ่ยาลดความอ้วนจะทำหน้าที่กดประสาทไม่ให้เกิดความอยากอาหาร ซึ่งยาลดความอ้วนบางชนิดมีส่วนผสมของฟีเนลโพรพาโนลามีน ก่อให้เกิดอาการเหนื่อยง่าย นอนไม่หลับ อารมณ์หงุดหงิด แปรปรวน ความดันโลหิตสูงและส่งผลเสียต่อไต คณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่าคนที่รับประทานยาลดความอ้วนจะกลับมาอ้วนใหม่อีกในที่สุด หรือที่เรียกว่า Yoyo effect วิธีที่ดีที่สุดในการลดน้ำหนักคือ การรับประทานอาหารที่สมดุลต่อความต้องการของร่างกาย และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

กรดอะมิโน จำเป็นแค่ไหน?

คำว่า “กรดอะมิโน” (Amino Acid) ที่เราได้ยินบ่อยๆ นั้นเป็นชื่อเรียกโมเลกุลเล็กๆ ที่เป็นหน่วยย่อยของโปรตีนในร่างกาย เมื่อพูดถึงโปรตีน หลายคนคงคุ้นเคยกันดี เพราะโปรตีนเป็นสารอาหารที่เรียกได้ว่าเป็นโครงสร้างหลักตัวหนึ่งของร่างกาย มีอยู่ในเซลล์ทุกเซลล์ และเนื้อเยื่อทั้งหมด
โปรตีนจำเป็นต่อการเจริญเติบโต การสร้างและซ่อมแซมเนื้อกระดูก กล้ามเนื้อ ผิวหนัง เล็บ เนื้อเยื่อพังผืด อวัยวะภายใน ไปจนถึงเลือด เป็นกลจักรสำคัญต่อการทำงานตามหน้าที่ต่างๆ ของร่างกาย เช่น การผลิตเซลล์และฮอร์โมน เกล็ดเลือด ของเหลว ภูมิคุ้มกันโรค และช่วยในการทำงานของสารสื่อกระแสประสาท เวลาที่คนเรากินอาหารประเภทโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ ถั่ว นม ฯลฯ ร่างกายจะต้องย่อยสลายโปรตีนเหล่านั้นให้เป็นหน่วยเล็กที่สุดคือกรดอะมิโนเสียก่อน เพื่อจะได้ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดไปใช้ประโยชน์ในเซลล์ต่างๆ ได้ หากมีมากเกินไปกรดอะมิโนส่วนเกินจะถูกขับออกจากร่างกายทางเหงื่อหรือปัสสาวะ ไม่สามารถเก็บสะสมไว้ใช้ต่อไปได้เหมือนอย่างพวกคาร์โบไฮเดรต (แป้งหรือน้ำตาล) ดังนั้นเราจึงต้องได้รับกรดอะมิโนที่จำเป็นอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติ ยิ่งคนอายุมากขึ้นจะยิ่งสูญเสียกรดอะมิโน (หรือโปรตีน) ไปมากกว่าการสร้างใหม่ จึงยิ่งต้องการโปรตีนทดแทนจากอาหารที่กินเข้าไปมากขึ้น การที่เราจะรู้ว่าอาหารชนิดไหนจะมีโปรตีนคุณภาพสูงหรือไม่ ก็ขึ้นกับชนิด และปริมาณของกรดอะมิโนที่ประกอบอยู่นั้นว่าเป็นชนิดที่จำเป็นหรือไม่แค่ไหน
กรดอะมิโนมีอยู่ด้วยกัน 20 ชนิด ในจำนวนนี้แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ กรดอะมิโนจำเป็น และกรดอะมิโนไม่จำเป็น กรดอะมิโนจำเป็นคือกรดอะมิโนที่ร่างกายไม่สามารถผลิตใช้ได้เองมีอยู่ 9 ชนิดด้วยกัน แต่ละชนิดก็ให้ประโยชน์กับร่างกายต่าง กัน อย่างเช่น ไลซีน (Lysine) ที่ช่วยร่างกายในการสร้างภูมิคุ้นกันโรค ฮอร์โมน และเอ็นไซม์ต่างๆ หรือ ทริปโตแฟน (Tryptophan) ที่ช่วยลดความกังวล ซึมเศร้า ลดอาการปวดหัวจากไมเกรน ช่วยให้นอนหลับเป็นปกติ เป็นต้น ส่วนกรดอะมิโนจำเป็นตัวอื่นๆ ได้แก่ วาลีน (Valine) ไอโซลิวซีน (Isoleucine) ลิวซีน (Leucine) ทรีโอนีน (Threonine) เมทีโอนีน (Methionine) ฟีนิวอะลานีน (Phenylalanine) และฮีสติดีน (Histidine) ต่างก็มีคุณค่าเฉพาะตัวต่างๆ กันไป
นอกนั้นเป็นกรดอะมิโนไม่จำเป็นที่ร่างกายสามารถผลิตได้เอง จึงไม่ค่อยพบว่ามีใครขาดแคลนกรดอะมิโนเหล่านี้ นอกจากเด็กทารกซึ่งยังผลิตกรดอะมิโนได้ไม่เพียงพอ และคนป่วย ซึ่งมีอยู่ 11 ชนิดด้วยกัน ได้แก่ อะลานีน (Alanine) อาร์จินีน (Arginine) แอสพาราจีน (Asparagine) กรดแอสพาติก (Aspartic acid) ซีสตีน (Cysteine) กรดกลูตามิก (Glutamic acid) กลูตามีน (Glutamine) ไกลซีน (Glycine) โปรลีน (Proline) ซีรีน (Serine) และไทโรซีน (Tyrosine) ซึ่งต่างก็มีคุณค่าเฉพาะตัวต่อร่างกายเช่นเดียวกัน
เพราะเช่นนี้อาหารที่มีโปรตีนเราจึงแบ่งได้เป็น 2 ประเภทตามปริมาณกรดอะมิโนจำเป็นว่ามีครบถ้วนทั้ง 9 ชนิดนี้หรือไม่ ได้แก่
1. โปรตีนสมบูรณ์ ได้แก่ อาหารพวกโปรตีนที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นครบทุกชนิด มักพบในเนื้อสัตว์เช่น ไก่ เป็ด เนื้อปลา ไข่ ชีส และผลิตภัณฑ์นมต่างๆ แต่ระวังนิดหนึ่งเพราะอาหารในกลุ่มนี้มักจะมีไขมันและโคเลสเตอรอลร่วมด้วย จึงต้องไม่ลืมควบคุมปริมาณการกินให้เหมาะสม อาหารกลุ่มนี้จำเป็นต่อการสร้างเสริมกล้ามเนื้อ มวลกระดูกโดยเฉพาะสำหรับเด็กเล็กๆ ที่กำลังเติบโต
2. โปรตีนเกือบสมบูรณ์ ได้แก่ อาหารพวกโปรตีนที่มีกรดอะมิโนจำเป็นเกือบครบทุกชนิด ขาดเพียง 1-2 ตัวเท่านั้น ซึ่งมักได้แก่โปรตีนจากพืชตระกูลถั่ว ทั้งที่เป็นฝักและเป็นเมล็ด ดังนั้นเราจึงควรเลือกกินอาหารเพื่อให้ได้กรดอะมิโนตามที่ร่างกายต้องการ โดยเน้นอาหารพวกเนื้อสัตว์ และพืชตระกูลถั่ว เนื่องจากอาหารแต่ละอย่างมีกรดอะมิโนที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นเราจึงควรกินอาหารให้หลากหลาย ไม่จำกัดเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอไป โดยเฉพาะคนที่กินอาหารแบบมังสวิรัติ หากเลือกกินให้สมดุลแล้ว ก็จะมีโอกาสได้รับกรดอะมิโนจำเป็นเพียงพอที่ร่างกายต้องการ อย่างเช่นในมื้ออาหารมื้อหนึ่ง เราอาจเลือกกินข้าว กับเต้าหู้(ถั่วเหลือง) แล้วเสริมด้วยถั่วเช่นถั่วฝักยาวหรือผักต่างๆ เพื่อให้ได้คุณค่าโปรตีนที่ครบถ้วน
ตารางต่อไปนี้แสดงพืชผักที่อุดมด้วยโปรตีนชนิดเกือบสมบูรณ์ ซึ่งเราควรจะเลือกกินอาหารในรายการเหล่านี้อย่างน้อย 2 ชนิดขึ้นไปเพื่อให้ได้รับกรดอะมิโนจำเป็นเพียงพอ ในจำนวนนี้มีถั่วเหลืองเพียงชนิดเดียวที่มีกรดอะมิโนจำเป็นครบ จึงถือว่าเป็นอาหารประเภทโปรตีนที่สมบูรณ์ เทียบได้กับโปรตีนจากสัตว์
ข้าว ชนิดฝัก ชนิดเมล็ด ผัก
ข้าวเจ้า ถั่วลิสง เมล็ดงา ผักใบเขียว
ข้าวเหนียว ถั่วแระ เมล็ดดอกทานตะวัน บร็อคโคลี่
ข้าวโพด ถั่วลันเตา ถั่ววอลนัท
ข้าวโอ๊ต ถั่วเหลือง เม็ดมะม่วงหิมพานต์
ข้าวบาร์เลย์ ถั่วแขก ถั่วแดง
พาสต้า ถั่วฝักยาว

การใช้คอมพิวเตอร์นานๆ



การใช้คอมพิวเตอร์นานๆ


กระทรวงสาธารณสุขเตือนคนไทยที่ใช้คอมพิวเตอร์นานๆ อาจเจอปัญหามากกว่า 3 เด้ง ทั้งโรคอ้วน ต้อหิน และหลุดโลก กระทรวงสาธารณสุขจึง แนะผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์นานๆ ควรถนอมสายตา จัดเวลาพักสายตาบ้าง
ขณะนี้คอมพิวเตอร์ ได้เข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของคนไทยมาก
ยิ่งขึ้น ซึ่งการใช้คอมพิวเตอร์นั้นทำให้คนไทยออกกำลังกายน้อยลง เนื่องจากเป็นการทำงานที่นั่งอยู่กับที่ เช่นเดียวกับในประเทศที่เจริญแล้วที่ใช้คอมพิวเตอร์กันมาก กำลังมีปัญหาโรคอ้วน โดยเฉพาะเด็ก เพราะขาดการออกกำลังกาย และทักษะในการเข้าสังคม ปัญหาที่พบบ่อยเมื่อต้องนั่งปฏิบัติงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ก็คือ ปัญหาความล้าของสายตา สาเหตุเกิดจากการมองทั้งจอภาพ แป้นพิมพ์ และเอกสารสลับกันตลอดเวลา รวมทั้งระยะความห่างที่แตกต่างกันในการมองเห็นวัตถุทั้ง 3 ทำให้สายตาต้องปรับโฟกัสตลอดเวลา ก่อให้เกิดความล้าของสายตา นอกจากนี้การใช้สายตาเพ่งนาน ๆ ยังอาจทำให้ตาแห้งเกิดระคายเคืองตาได้


นอกจากนี้การใช้คอมพิวเตอร์นานๆ อาจส่งปัญหาให้สายตาอื่นๆ ได้อีก โดยเมื่อเร็วๆ นี้มีงานศึกษาวิจัยในต่างประเทศพบว่า การใช้คอมพิวเตอร์นานๆ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีสายตาสั้นอยู่แล้ว จะมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคต้อหินได้ ซึ่งโรคดังกล่าวจะทำลายจอประสาททำให้ตาบอดได้ในที่สุด โดยพบได้ 3 ใน 10,000 คน ของกลุ่มที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ระบบประสาทตาของคนที่สายตาสั้นจะมีความเครียดมากกว่าคนที่มีสายตาปกติ ดังนั้นเรื่องความเครียดของสายตาจากการใช้คอมพิวเตอร์ อาจกลายเป็นปัญหาในอนาคตอันใกล้นี้

เวลาขลุกอยู่กับคอมพิวเตอร์นานๆ ไม่ว่าจะทำงาน เล่นเกมส์ หรือดูอินเตอร์เน็ต ควรนั่งให้ห่างจากจอภาพไม่น้อยกว่า 30 เซนติเมตร เพื่อลดปริมาณรังสีที่แผ่ออกมาให้ได้รับน้อยที่สุด จากการศึกษาของสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรคพบว่า
การติดแผ่นกรองแสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ สามารถลดระดับปริมาณรังสีที่แผ่ออกมาจากจอภาพลงได้บ้าง แต่ไม่สามารถลดลงได้ทั้งหมด การติดหรือไม่ติดแผ่นกรองแสง จึงมีผลแตกต่างกันไม่มากนัก กับปริมาณรังสีที่แผ่ออกมาเพียงแต่การติดแผ่นกรองแสง จะช่วยให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ เกิดความสบายใจ หรือช่วยคลายความกังวล ลงได้บ้าง อย่างไรก็ตาม แผ่นกรองแสง ก็ยังมีข้อดี ตรงที่ช่วยลดแสงจ้า แสงสะท้อน และไฟฟ้าสถิตย์ ช่วยให้ความล้าของสายตา ลดลง และป้องกันแสงสะท้อนเข้าสู่ตาได้ระดับหนึ่ง

ดังนั้นจึงควรหันมาถนอมและส่งเสริมสุขภาพสายตา โดยปรับระยะห่างระหว่างตากับจอคอมพิวเตอร์อย่างพอเหมาะให้สามารถอ่านหนังสือตัวเล็กที่สุดบนจอได้อย่างสบายๆ โดยที่ไม่ต้องเพ่ง ปรับความสว่างของจอคอมพิวเตอร์ให้เหมาะกับตา ให้รู้สึกไม่สว่างหรือมืดเกินไป และควรพักสายตาประมาณ 10 นาทีต่อชั่วโมง หรือพักทุก 15 นาที ต่อ 2 ชั่วโมง เช่น หลับตา มองไปไกลๆ หรือดูสิ่งพิมพ์ตัวโตๆ ควรทำงานกับจอภาพไม่เกินวันละ 4 ชั่วโมง